วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คลี่ข้อสงสัยคาใจ “ไนโตรเจน” ตัวการ “บั้งไฟพญานาค”

“เฮ็ด ในสิ่งที่เชื่อ เชื่อในสิ่งที่เฮ็ด” วลีฮิตพร้อมทั้งภาพยนตร์เมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมาได้จุดกระแสความสนใจ “บั้งไฟพญานาค” ปรากฏการณ์อัศจรรย์แห่งลุ่มน้ำโขงในวันออกพรรษาอย่างมาก แต่เชื่อว่าหลายคนอาจยังคงมีคำถามลึกๆ ถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่มีใครฟันธงได้ ว่าเกิดจาก “พญานาค” สิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อหรือน้ำมือมนุษย์หรือเป็นปรากฏการณ์ ธรรมชาติอย่างหนึ่งกันแน่

ทั้งนี้ “บั้งไฟพญานาค” คือปรากฏการณ์ที่มีลูกไฟแดงอมชมพู พุ่งขึ้นจากผิวน้ำแม่น้ำโขง สู่ท้องฟ้าในวันออกพรรษาที่บริเวณเขต อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ลูกไฟที่ว่านี้เป็นลูกไฟสีแดงอมชมพู ไม่มีเสียง ไม่มีควัน ไม่มีเปลว พุ่งขึ้นตรง ไม่โค้งและตกลงมาแบบโปรเจกไตล์ (projectile) เหมือนลูกไฟทั่วไป โดยจะดับกลางอากาศ และสังเกตได้ง่ายแตกต่างจากลูกไฟทั่วไป ซึ่งมีความเชื่อกันว่าพญานาคเป็นผู้ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้

ผศ.ดร.กฤษณะเดช เจริญสุธาสินี ผศ.ดร.มัลลิกา เจริญสุธาสินี และ ทีมงานในโครงการ GLOBE (Global Learning and Observations to Benefit the Environment) ซึ่งศึกษาวิทยาศาสตร์ระบบโลกด้านสิ่งปกคลุมดิน (Landcover) บรรยากาศ (Atmosphere) และดิน (Soil) จึงได้ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อจะไขปริศนาของปรากฏการณ์ที่คาใจนี้ใน การฝึกอบรมของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ในช่วงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ทางกลุ่มได้มีมุมมองในการวิเคราะห์ปรากฏการณ์โดยเริ่มต้นโดย การทำความเข้าใจทางอุทกศาสตร์และภูมิศาสตร์ของสายน้ำโขง ก่อนที่จะมาดูสภาพพื้นที่ของจังหวัดหนองคาย ดูวัฎจักรไนโตรเจนซึ่งเป็นวัฎจักรที่สำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำและพื้นที่น้ำ ท่วมถึง สุดท้ายดูกระบวนการเกิดการเรืองแสงทางเคมีจากผลผลิตหนึ่งของวัฎจักรไนโตรเจน โดยได้ทำการตรวจวัดคุณภาพน้ำในแม่น้ำโขง 2 บริเวณ คือ บริเวณหาดจอมมณีริมฝั่งโขงใกล้กับสะพานมิตรภาพไทย-ลาว กับบริเวณหนองกอมเกาะ

จากการศึกษาพวกเขาพบว่าน้ำจากสายน้ำโขงมีค่าความขุ่นใสต่ำกว่าหรือใส กว่าน้ำจากหนองกอมเกาะซึ่งเป็นน้ำผิวดินที่มีอนุภาคดินเหนียวลอยอยู่ แต่น้ำในน้ำโขงนั้นก็ยังคงมีขุ่นมากโดยประกอบด้วยตะกอนต่างๆ ที่พัดพามา และค่าออกซิเจนที่ละลายในน้ำ (dissolved oxygen) หรือค่า DO ของน้ำโขงดีกว่าหนองกอมเกาะ ส่วนค่าความนำไฟฟ้าในน้ำโขงเท่ากับ 273-373 mS ซึ่งสูงกว่าน้ำที่หนองกอมเกาะที่มีค่าเท่ากับ 100 mS และเมื่อวัดค่า pHได้ว่าน้ำโขงมีความเป็นเบสสูงกว่าของหนองกอมเกาะ โดยมีค่าประมาณ 8.4-8.5 ขณะที่ในหนองกอมเกาะวัดได้ 6.6-7.0

นอกจากนี้ทางกลุ่มยังพบว่าน้ำในหนองคายเป็นน้ำกร่อยด้วย และได้ตรวจหาไนเตรตแต่ไม่พบ อย่างไรก็ดีพวกเขากล่าวว่าข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลที่ได้ในระหว่าง การอบรม หากต้องการข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากกว่านี้จะต้องทำวิจัยกันอีกครั้ง พร้อมทั้งสรุปถึงสภาพน้ำที่หนองกอมเกาะว่าเป็นน้ำที่ผ่านการเกษตรกรรมจากการ ชลประทานจากแม่น้ำโขง ส่วนสภาพอากาศในช่วงที่ทำการศึกษานั้นมีมวลอากาศเย็นพัดมาทำให้ความชื้น สัมพัทธ์ลดลงเรื่อยๆ และตรวจพบละอองอากาศค่อนข้างมาก ซึ่งทางกลุ่มสรุปว่ามีการเผาชีวมวลค่อนสูงทำให้เกิดละอองในอากาศเนื่องจาก การพัดพาของลมและไม่มีฝนชะล้าง

การตรวจดินก็เป็นอีกกิจกรรมที่ทางคณะได้ศึกษาซึ่งพบว่าดินในบริเวณ จ.หนองคาย เป็นดินทรายถึง 53.24% ดินทรายแป้ง 16.16% เป็นดินเหนียวอีก 30.62% และมีความเป็นลูกรังสูงทำให้จับตัวเป็นก้อนแข็งเนื่องจากมีธาตุเหล็กสูง ขณะที่ธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมต่ำซึ่งแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ต่ำ แต่ในชั้นดินพบโพแทสเซียมระดับปานกลาง ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่ว่าในจังหวัดหนองคายมีปริมาณแร่โพแทสเซียมมากเป็น อันดับ 3 ของโลก

ส่วนผลการศึกษาจากสิ่งปกคลุมดินพบว่าพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ ประกอบด้วยบริเวณที่อยู่อาศัยและชุมชน บริเวณน้ำจืด เป็นที่ลุ่มเป็นหนองต่างๆ กระจัดกระจายอยู่ด้านใต้ของแม่น้ำโขง จ.นองคายมีสายน้ำโขงเป็นแหล่งน้ำหลักและมีการใช้น้ำบาดาล พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินปกคลุม ส่วนบริเวณป่ามีส่วนน้อยและเป็นป่าที่ขึ้นทีหลัง มีขนาดไม่สูงนัก จัดในกลุ่มคล้ายป่าละเมาะแต่ขึ้นหนาแน่นมากทำให้เดินเข้าได้ยาก จากการวิเคราะห์พบว่าพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นบริเวณแห้งแล้ง พื้นที่ชุ่มน้ำทั้งตามริมฝั่งโขงนั้นและที่อื่นๆ มีกระบวนการต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ดิน ตะกอน ซากพืชและสัตว์ที่น้ำโขงพามานั้นเป็นทรัพยากรอันอุดมที่จะผ่านวัฏจักรที่ สำคัญๆ หลายวัฎจักร

“ที่เราสนใจ ณ ที่นี้คือวัฎจักรไนโตรเจน” ทางกลุ่มเปิดเผยโดยในวัฏจักรไนโตรเจนซึ่งแบคทีเรียสามารถเปลี่ยนสารประกอบ ไนโตรเจนให้เป็นก๊าซไนโตรเจนหรือเปลี่ยนก๊าซไนโตรเจนให้ให้กลับให้กลับไป อยู่ในรูปสารประกอบ ซึ่งในระหว่างกระบวนการต่างๆ นั้นมีสารประกอบที่ทางกลุ่มให้ความสนใจนั่นคือ “ไนตริกออกไซด์” (NO) ซึ่งนอกจากเป็นก๊าซที่เนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกายสังเคราะห์ขึ้นและมีบทบาทในการควบคุมความดันเลือด รวมถึงการสื่อสารกันของเซลล์ประสาทในการทำลายเชื้อโรคแล้ว ยังเป็นก๊าซที่ของนักวิทยาศาสตร์ด้านบรรยากาศสนใจ

“เป็นสารมลภาวะที่เกิดจากการเผาไหม้รถยนต์ ปรากฏการณ์การเรืองแสงโดยเคมีของก๊าซ NO ในภาษาฟิสิกส์เราเรียกว่ามีการปลดปล่อยโฟตอนในกระบวนการระดับควอนตัม เราพบปรากฏการณ์นี้ได้ในธรรมชาติ เช่น แสงจากหิ่งห้อย แสงจากแมงกะพรุนและอื่นๆ ถ้าเกิดปรากฏการณ์นี้ในระบบชีวภาพหรือสิ่งมีชีวิต เราเรียกว่า “Bioluminescence” แต่ในสำหรับบั้งไฟพญานาคไม่มีการยืนยันว่าพบสิ่งมีชีวิตใดเรืองแสงในขณะที่ เกิด ทำให้เราคิดว่าน่าจะเกิดจากกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า “Chemiluminescence” มากกว่าโดยน่าจะเกิดในขณะที่โมเลกุลทั้งหลายมีสถานะเป็นก๊าซตามกระบวนการต่อไปนี้”

“ในสมการ NO2* คือ NO2 ที่อยู่สภาวะกระตุ้น (Excited State) และสามารถปลดปล่อยโฟตอน (hn) ที่มีความยาวคลื่น (l) ได้ตั้งแต่ 600 ถึง 3000 นาโนเมตร ความเข้มแสงในกระบวนการนี้จะขึ้นกับความเข้มข้นของ NO และปกติแสงที่ได้จะมีสีแดง เราบอกได้จากความยาวคลื่นของปฏิกิริยานี้ ซึ่งบังเอิญตรงกับสีของบั้งไฟพญานาคพอดี”

“ความประจวบเหมาะของปรากฏการณ์เรืองแสงที่ใช้ NO เป็นองค์ประกอบตั้งต้นอีกอย่างก็คือ กระบวนการนี้ต้องการโอโซน และโอโซนบนผิวโลกนั้นเกิดได้จากกระบวนการไม่กี่อย่าง เช่น ฟ้าผ่า ฟ้าแลบ การจุดประกายไฟฟ้า การเผาไหม้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งออกมาจากเครื่องยนต์แบบสันดาปภายใน นั่นคือในการจุดระเบิดจะมีการจุดประกายไฟฟ้าโดยหัวเทียนซึ่งเป็นต้นกำเนิด ของโอโซนเป็นอย่างดี จึงเป็นคำอธิบายว่าปรากฏการณ์บั้งไฟสามารถเกิดขึ้นได้มากถ้าเมืองหนองคายมี การขยายตัวมากหรือมีฝนฟ้าคะนอง มีฟ้าผ่า"

อย่างไรก็ดีทางกลุ่มเชื่อว่ากระบวนการนี้ยังต้องขึ้นกับความเข้มข้น ของก๊าซ NO เป็นหลัก หากความเข้มข้นของก๊าซ NO ไม่เพียงพอ การเรืองแสงก็จะไม่ชัดหรือเราจะมองไม่เห็นนั้นเอง ถ้าบั้งไฟพญานาคเรืองแสงโดยกระบวนการนี้จริง ปริมาณก๊าซโอโซน ณ วันเวลาดังกล่าวจะลดลง ในขณะที่ก๊าซออกซิเจนจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งผู้ที่ชมปรากฏการณ์ดังกล่าวก็จะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ขณะชมบั้งไฟเพราะ ปกติโอโซนบริเวณผิวโลกนั้นเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต

“ความรู้เกี่ยวกับการเรืองแสงโดยกระบวนการทางเคมีที่ให้ไว้ก็เพื่อ เป็นการให้การศึกษาทางวิทยาศาสตร์โดยดึงปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคมาเป็นพระเอก ถึงแม้ว่าบั้งไฟพญานาคจะเรืองแสงโดยกระบวนนี้ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ เพราะเรายังไม่ได้ทำการพิสูจน์และเพียงแต่ตั้งข้อสังเกตเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าวิทยาศาสตร์จะบอกว่าเงื่อนไขต่างๆ นั้นมาได้อย่างไร มาจากไหน วิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นคำตอบของทุกอย่าง ดังเช่น ที่นักวิทยาศาสตร์ซึ่งไม่เข้าใจวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงกำลังทำให้คนส่วน ใหญ่คิดแบบนั้นกัน” ทางกลุ่มให้ความเห็น

สำหรับเรื่องช่วงวันเดือนที่เกิดนั้นทางกลุ่มให้ความเห็นว่าน่าจะ อธิบายโดยอาศัยความเกี่ยวพันกับฤดูกาลได้ วันขึ้น15 ค่ำเดือน 11 นั้น น่าจะมีความสัมพันธ์กับสภาวะน้ำในลำโขงนั้นเอง และถ้าลำโขงมีน้ำน้อยในปีนั้นๆ ตะกอนก็จะน้อย ปริมาณ NO ก็จะน้อยทำให้มองบั้งไฟได้ไม่ชัด และยิ่งถ้าลำน้ำโขงมีมลภาวะ แบคทีเรียที่อยู่ในกระบวนปลดปล่อยไนโตรเจนกลับสู่บรรยากาศก็จะแพ้แบคทีเรีย ที่ปล่อยก๊าซมลภาวะตัวอื่นๆ บั้งไฟก็จะไม่เกิดเช่นกัน ความสม่ำเสมอของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกนั้นมาจากการเคลื่อนที่ของระบบ โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ กล่าวคือเป็นผลจากดาราศาสตร์นั้นเอง

“สำหรับแรงไทด์จากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะส่งผลให้เห็นชัดก็ต่อ เมื่อมวลของคู่กรณีมีขนาดใหญ่ เช่น มวลน้ำในทะเลจีนใต้ ทะเลอันดามัน ขนาดมวลน้ำขนาดนั้น ยังยกระดับให้สูงได้เพียงขนาดเป็นเมตรเอง โดยสรุปบั้งไฟพญานาคเป็นปรากฏการณ์ที่เราสามารถนำเอามาใช้เป็นตัวจุดชนวนใน การศึกษาโลกอย่างเป็นระบบที่มีการเชื่อมโยงกันของสิ่งปกคลุมดิน ชลศาสตร์ บรรยากาศ และดิน ก่อให้เกิดปรากฏการณ์สุดมหัศจรรย์นี้”

ใน ความคิดของทีมเรานั้น บั้งไฟพญานาคเป็นปรากฏการณ์ที่สุดยอดมหัศจรรย์ เกิดในสถานที่สุดยอดมหัศจรรย์ เกิดในจังหวะเวลาที่สุดยอดมหัศจรรย์ มีประวัติและความเกี่ยวพันกับสิ่งต่างๆ ที่สุดยอด ถึงทีมเรายังไม่เคยเห็นของจริงและไม่มีงบวิจัยให้เราไปศึกษาในรายละเอียด แต่ก็สามารถสรุปได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ควรค่าแก่การไปชม เป็นความภูมิใจของชาวหนองคาย เป็นสิ่งที่ทำให้เรารำลึกถึงความดีงามเมื่อศึกษาประวัติศาสตร์ และควรอนุรักษ์สายน้ำนี้ไว้อย่างดีที่สุด”

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


classic-video-games
free-chess-games
free-online-games-for-girls
games-for-a-road-trip
free-race-driving-games
free-solitaire-games-online-no-downloads
my-fashion-dress-up-games
online-puzzle-games
online-strategy-games
play-driving-test-games

นักวิทย์เสก “น้ำ” ให้ไหลขึ้นที่สูงได้ !!

นักฟิสิกส์สามารถทำให้ “น้ำ” ไหลขึ้นสู่ที่สูงได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยสาธิตโชว์หยดน้ำที่ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นบนพื้นผิวหยักเหมือนขึ้นบันไดมีความชัน 12 องศา ซึ่งพัฒนาแนวคิดนี้มาจาก “ไลเดนฟรอสต์ เอฟเฟกต์” ที่พบว่าหยดน้ำบนกระทะที่ร้อนจัดนั้นไม่ติดกับพื้นกระทะและสั่นไหวได้

นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐฯ ทำการทดลองเพื่อค้นหาว่าโมเลกุลของไอน้ำร้อนจะสามารถเคลื่อนที่ย้อนขึ้นที่ สูงได้อย่างไร โดยผลการทดลองครั้งนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้เขียนอธิบายลงในวารสารฟิสิกส์รี วิวเล็ตเตอร์ส (Physical Review Letters) ว่าน่าจะนำไปใช้ในการทำความเย็นให้กับอุปกรณ์ไมโครชิป

สิ่งที่นักฟิสิกส์ทีมนี้ค้นพบก็เนื่องมาจากการสังเกตในห้องครัวอย่าง ที่ทุกๆ เคยเข้าไปหุงหาอาหารกัน โดยตั้งกระทะไว้บนเตาให้เกิดความร้อนจนเกิดจุดเดือดของน้ำ และเมื่อหยดน้ำลงบนกระทะที่ร้อนบริเวณด้านใต้ของหยดน้ำที่สัมผัสกับผิวกระทะ ก็จะไม่ได้สัมผัสกันแนบชิด และสั่นไปมา ซึ่ง “โยฮานน์ กอตต์ลอบ ไลเดนฟรอสต์” (Johann Gottlob Leidenfrost) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมันสามารถอธิบายได้เมื่อช่วงศตวรรษที่ 18 โดยต่อมาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ไลเด็นฟรอซ เอฟเฟค” (Leidenfrost Effect)

“พวกเราสนใจว่าจะสามารถนำปรากฏการณ์นี้ไปใช้เคลื่อนย้ายของเหลวต่างๆ โดยรอบได้อย่างไร” ดร.ไฮเนอร์ ลิงเค (Heiner Linke) เจ้าของโครงการทำน้ำเคลื่อนไหวในทิศทางต่างๆ ซึ่งวิธีการนั้นก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร แทนที่จะใช้วัตถุพื้นราบ ก็ใช้วัตถุที่เป็นร่องหยักๆ เหมือนขั้นบันไดแทน

จากการทดลองทีมงานเห็นหยดน้ำพยายามดิ้นผลักตัวขึ้นสู่ที่สูงตามรอย หยักที่มีความลาดชัน ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่บนก้นกระทะแบนราบที่สั่นไปมาเพียงอย่างเดียว ซึ่งตัวกลไกที่ทำให้หยดน้ำสามารถไหลย้อนขึ้นก็คือ “ไอน้ำ” ซึ่ง ดร.ลิงเคอธิบายว่า หยดน้ำอยู่บนไอน้ำที่กำลังไหลขึ้นสู่ที่สูงกว่า เหมือนกับไอน้ำเป็นเรือพาหยดน้ำไต่ขึ้นไปตามรอยหยักของพื้นผิว

หยดน้ำสามารถไต่รอยหยักไปได้ทีละขั้น ตามแนวลาดที่มีความชัน 12 องศา และเมื่อนำภาพที่บันทึกไว้มาฉายต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว จะเห็นว่าหยดน้ำกำลังไต่ขึ้นที่สูง เหมือนกับสัตว์เซลล์เดียวไร้รูปร่างกำลังค่อยๆ กระดึบๆ

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ ดร.ลิงเคกำลังศึกษาอยู่ก็คือต้องการให้มีการขับเคลื่อนในระดับโมเลกุล เพื่อนำไปใช้ในระบบทำความเย็นของคอมพิวเตอร์ไมโครชิป ซึ่งกระแสไฟฟ้าได้ไหลผ่านไมโครโพสเซสเซอร์ ทำให้เกิดความร้อน และความร้อนดังกล่าวก็ไปจำกัดการทำงานของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์

แม้ว่าจะมีชิปหลายชนิดที่เติมวงจรที่ทำให้อุปกรณ์เย็นขึ้น แต่ก็ยังต้องการตัวปั๊มเพื่อผลักความเย็นกระจายได้ทั่ว ซึ่งทำให้ต้องสร้างความร้อนมากกว่าเดิมเสียอีก ดังนั้นการที่สามารถบังคับทิศทางของโมเกลกุลของน้ำและไอน้ำได้นับเป็นหนทาง ที่จะช่วยให้เกิดการสร้างระบบทำความเย็นในไมโครชิปแบบที่ไม่ต้องอาศัยการขับ เคลื่อนใดๆ

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th

play-free-fun-games-online-now
cool-games-to-play
driving-free-online-no-downloading-games
interactive-games
kids-party-games
virtual-real-life-games
drinking-games-cards
multiplayer-online-rpg-games
play-free-cherry-machine-games
the-westing-game

ทำเองไม่ยาก "เจลล้างมือ" สู้หวัด 2009 สูตรพื้นฐานจาก วว.


นายอรรคชัย ตันตราวงศ์ นักวิชาการ ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว. เป็นวิทยากรสาธิตการทำเจลแอลกอฮอล์ล้างมือฆ่าเชื้อโรค

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ผู้สนใจเข้าร่วมการอบรมทำเจลล้างมือเป็นจำนวนมาก

ส่วนผสมที่ใช้ในการทำเจลล้างมือ

เอทิล แอลกอฮอล์ 95%

โพรไพลีน ไกลคอล (ซ้าย) และ ไตรเอทาโนลามีน (ขวา)

คาร์โบพอล 940

เจอร์มาเบน สารป้องกันการเกิดเชื้อรา

น้ำหอมและสีผสมอาหารสำหรับแต่งสีและกลิ่นให้เจลล้างมือ

นักวิชาการ วว. ขณะกำลังสาธิตการทำเจลล้างมือแบบไม่ใช้น้ำ

ส่วนผสมของเจลล้างมือหลังเติมคาร์โบพอล 940 ก่อน (ซ้าย) และหลัง (ขวา) พักทิ้งไว้ 1 คืน

เมื่อเสร็จขั้นตอนจะได้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือพร้อมใช้งานทันที

เจลแอลกอฮอล์ล้างมือบรรจุหลอดขนาดเล็ก พกพาสะดวก ใช้ล้างมือให้สะอาดปราศจากเชื้อโรคได้ทุกที่ทุกเวลา

วว. เปิดคอร์สสอนทำเจลล้างมือสูตรพื้นฐาน ทำง่าย ไม่ยุ่งยาก เหมาะสำหรับทุกครอบครัวทำไว้ใช้เอง หรือแจกจ่ายคนรอบข้าง หรืออาจจำหน่ายสร้างรายได้เสริมในยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง แต่จำเป็นต้องรักษาสุขอนามัยป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) จัดอบรม "สาธิตการทำเจลล้างมือไม่ใช้น้ำ" ให้แก่ประชาชนทั่วไปที่สนใจ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ระหว่างวันที่ 29-31 ก.ค. 52 ซึ่งทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์การอบรม เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา ณ วว. บางเขน ซึ่งมีผู้สนใจลงเบียนเข้าร่วมอบรมเป็นจำนวนมาก

นายอรรคชัย ตันตราวงศ์ นักวิชาการ ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ รับหน้าที่เป็นวิทยากรสาธิตการทำเจลล้างมือสูตรมาตรฐานทั่วไป ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมอยู่ 70% มีประสิทธิภาพกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ได้ดี และช่วยให้มืออ่อนนุ่มชุ่มชื้น ไม่แห้งตึง

ส่วนประกอบสำหรับเจลแอลกอฮอล์ 500 มิลลิลิตร มีดังนี้

1. คาร์โบพอล 940 (Carbopol 940) 1.5 กรัม
2. เอทิล แอลกอฮอล์ 95% (Ethyl alcohol 95%) 370 มิลลิลิตร
3. ไตรเอทาโนลามีน (Triethanolamine) 1.5 กรัม
4. น้ำอาร์โอ (Reverse osmosis: RO) หรือน้ำดื่มบรรจุขวดทั่วไปที่ระบุว่าผ่านการ Reverse osmosis 128 มิลลิลิตร
5. เจอร์มาเบน (Germaben) 5 มิลลิลิตร
6. โพรไพลีน ไกลคอล (Propylene glycol) 5 มิลลิลิตร
7. สีผสมอาหาร, น้ำหอม หรือน้ำมันหอมระเหย

วิธีการเตรียม

1. ตวงเอทิล แอลกอฮอล์ 95% ผสมกับน้ำอาร์โอ (ทำในภาชนะแก้ว, แสตนเลส หรือกระเบื้องเคลือบ)

2. เติมโพรไพลีน ไกลคอล (สารให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว) และเจอร์มาเบน (สารป้องกันการเกิดเชื้อรา) ตามลงไป แล้วคนให้เข้ากัน

3. ค่อยๆ โปรยคาร์โบพอล 940 (สารประกอบให้เกิดเจล) ลงไป และกวนให้กระจายตัวในส่วนผสม (อาจใช้แท่งแก้วหรือเครื่องกวนขนม) จากนั้นพักทิ้งไว้ 1 คืน เพื่อให้คาร์โบพอลเกิดการพองตัว

4. นำส่วนผสมที่พักทิ้งไว้ 1 คืน มากวนให้เป็นเนื้อเดียวกัน

5. เติมสีและกลิ่นตามความพึงพอใจอย่างละประมาณไม่เกิน 5 มิลลิลิตร

6. ใส่ไตรเอทาโนลามีน (สารประกอบให้เกิดเจล) ลงไปและกวนให้เข้ากัน จะได้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที หรือบรรจุในภาชนะปิดสนิทเพื่อป้องกันการระเหยของแอลกอฮอล์ (เช่น หลอดพลาสติก) สามารถเก็บไว้ใช้ได้นานกว่า 2 ปี

ข้อควรระวัง!

1. ห้ามใช้ "เมทิล แอลกอฮอล์" (Methyl alcohol) โดยเด็ดขาด เพราะอาจซึมเข้าสู่ผิวหนังและทำให้ตาบอดหรือมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ แต่สามารถใช้ ไอโซโพรพิล แอลกอฮอล์ (Isopropyl alcohol) แทนได้ แต่จะมีกลิ่นเหม็นฉุนมากกว่า

2. แอลกอฮอล์เป็นสารติดไฟง่าย ควรเก็บไว้ให้ห่างจากเปลวไฟและในที่ที่มีอุณหภูมิสูง

3. ขั้นตอนการเตรียมควรทำในภาชนะแก้ว, แสตนเลส หรือกระเบื้องเคลือบ แต่ห้ามใช้ภาชนะพลาสติก เพราะอาจทำสีหรือสารเคมีอันตรายจากพลาสติกหลุดออกมาปะปนรวมอยู่ด้วย

ทั้งนี้ สารเคมีที่ใช้เป็นส่วนผสมในเจลล้างมือสามารถซื้อได้ตามร้านขายเคมีภัณฑ์ทั่ว ไป โดยเลือกใช้สารเคมีเกรดสำหรับเครื่องสำอาง

ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ในการเตรียม สามารถประยุกต์ใช้อุปกรณ์ในครัวเรือนได้ หรือหาซื้อได้จากร้านขายอุปกรณ์การทดลองทางวิทยาศาสตร์ เช่น ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์

รู้วิธีการทำเจลล้างมือที่ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยากแบบนี้แล้ว ถ้าใครมีเวลาว่างก็สามารถทำไว้ใช้เองในครัวเรือนได้ ยิ่งเพิ่มความมั่นใจ ห่างไกลไข้หวัดใหญ่ 2009 หรือจะทำแจกจ่ายคนรอบข้างด้วยก็ได้ ยิ่งช่วยสร้างสุขอนามัยที่ดีในสังคม

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


games-games-com
games-to-play-in-p-e
play-free-games-online
play-scary-maze-game
all-games
cool-maths-games
free-classic-arcade-games
free-games-right-now
online-action-games
online-games-for-children

"หุ่นยนต์แมลงยักษ์" บินตรงจากญี่ปุ่นร่วมโชว์ตัวในงานมหกรรมวิทย์ 52

คุณปู่ชาร์ลส ดาร์วิน (กลาง) ชวนเด็กๆ เที่ยวงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2552 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 8-23 ส.ค. 2552

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช (ซ้าย) และ ดร.สุจินดา โชติพานิช

กรมวิทยาศาสตร์บริการ เตรียมสอนทำเจลแอลกอฮอล์ล้างมือสู้หวัด 2009 ภายในงานมหกรรมวิทย์ 52

แว่นตาจำลองการมองเห็นของสัตว์นานาชนิด อีกหนึ่งชิ้นงานที่จัดแสดงให้เยาวชนได้เรียนรู้ภายในงานมหกรรมวิทย์ 52

หุ่นยนต์ตั๊กแตนยักษ์ ใหญ่กว่าของจริง 70 เท่า กระโดดได้ไกล 30 เมตร (ภาพจาก อพวช.)

หุ่นยนต์แมงป่องยักษ์ (ภาพจาก อพวช.)

หุ่นยนต์แมงมุมทาแรนทูรายักษ์ (ภาพจาก อพวช.)

นิทรรรศการฉลองปีดาราศาสตร์สากล (ภาพจาก อพวช.)

มหกรรมวิทย์ปีนี้จัดสุดยิ่งใหญ่ ยกหุ่นยนต์แมลงยักษ์จากญี่ปุ่นร่วมโชว์ในงาน หวังจุดประกายให้เด็กไทยเกิดจินตนาการด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์ และพาเยาวชนเข้าร่วมผจญภัยไปในอวกาศ เนื่องในปีดาราศาสตร์สากล ด้วยภาพยนตร์ 3 มิติสุดตระการตา และนิทรรศการน่ารู้อีกมากมาย พร้อมสร้างความมั่นใจให้ผู้เข้าร่วมงานด้วยมาตรการคุมเข้มเพื่อป้องกันไข้ หวัดใหญ่ 2009 แพร่ระบาดในงาน

องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) แถลงข่าวการจัดงาน "มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2552" ภายใต้แนวคิด "วิทยาศาสตร์ก้าวไกล นำไทยก้าวหน้า" ที่ปีนี้จะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เนื่องในสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ และเพื่อฉลองครบรอบ 30 ปี กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 8-23 ส.ค. ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วท. กล่าวว่า งานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย โดยในปีนี้ได้จัดงานอย่างยิ่งใหญ่เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปี กระทรวงวิทย์ และได้รับความร่วมมือจากอีก 6 กระทรวงที่เข้าร่วมจัดงานในครั้งนี้ด้วย ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอีกว่า 70 หน่วยงาน

"อยาก ให้เด็ก เยาวชน และประชาชนไทย ได้เข้ามาสัมผัสและเรียนรู้ถึงความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ของไทยและทั่วโลก ว่าก้าวไกลไปถึงไหนแล้ว เพื่อจุดประกายความคิดด้านวิทยาศาสตร์ให้กับคนไทย" ดร.คุณหญิงกัลยา กล่าว

ด้าน ดร.พิชัย สนแจ้ง ผู้อำนวยการ อพวช. ในฐานะผู้จัดงานกล่าวกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTVผู้จัดการออนไลน์เพิ่มเติมว่า ไฮไลต์ของงานในปีนี้คือ นิทรรศการเทิดพระเกียรติพระปรีชาสามารถในด้านวิทยาศาสตร์ของพระบาทสมเด็จ เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ รัชกาลที่ 9 และพระบรมวงศานุวงศ์ ส่วน ไฮไลต์ของนิทรรศการที่นำมาจัดแสดงคือ หุ่นยนต์แมลงขนาดยักษ์จากประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ หุ่นยนต์ตั๊กแตน หุ่นยนต์แมงป่อง และหุ่นยนต์แมงมุม ซึ่งเคยจัดแสดงมาแล้วทั่วโลก

หุ่นยนต์แมงมุมทาแรนทูร่ามีระบบเซ็นติดอยู่ด้วย เมื่อเข้าใกล้มันจะแสดงท่าทางกำลังชักใย พร้อมกับเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย ส่วนหุ่นยนต์แมงป่องสามารถเคลื่อนไหวร่างกาย ส่วนหางและก้ามได้เหมือนแมงป่องจริง ขณะที่หุ่นยนต์ตั๊กแตนที่มีขนาดใหญ่กว่าขนาดจริงถึง 70 เท่า สามารถเคลื่อนไหวลำตัวและปีกได้ และกระโดดได้สูงถึง 3 เมตร

"หุ่นยนต์แมลงยักษ์จากญี่ปุ่นเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมการออกแบบและสร้างหุ่นยนต์ที่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติได้ และที่เลือกนำหุ่นยนต์แมลงมาจัดแสดงก็เพื่อให้สอดคล้องกับนิทรรศการความหลาก หลายทางชีวภาพ ที่จัดขึ้นเนื่องในโอกาสปีนี้เป็นปีที่ครบรอบ 200 ปี ชาร์ลส ดาร์วิน และอยากให้เด็กๆ ที่ได้มาชมหุ่นยนต์แมลงเกิดจินตนาการและแนวคิด หากเราจะพัฒนาหุ่นยนต์ขึ้นมาจะต้องมีมุมมองและความรู้เกี่ยวกับอะไรบ้าง" ดร.พิชัย กล่าวถึงไฮไลต์ของงาน

อีกทั้งจะมีการจัดแสดงหุ่นยนต์ต่างๆ ทั้งหุ่นยนต์ยักษ์ที่สูงที่สุดในโรง ออปตรา บอต (OPTRA BOT) จากภาพยนตร์ดัง ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 2 (Transformers 2) และหุ่นยนต์จากภาพยนต์และการ์ตูนขวัญใจเด็กๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการเฉลิมฉลองปีดาราศาสตร์สากล พร้อมด้วยความตื่นเต้นตระการตากับการแสดงภาพยนตร์ 3 มิติ การเคลื่อนที่ของดวงดาวในเอกภพ และสัมผัสประสบการณ์ผจญภัยไปในอวกาศ รวมทั้งการผจญภัยบนยานสำรวจทรัพยากรธรรมชาติในรูปแบบเสมือนจริง 4 มิติ (4D Simulator) เพื่อเรียนรู้วิกฤตการโลกร้อนและการแก้ไขปัญหาได้ครบทุกรส และยังมีนิทรรศการอีกมากมายที่เยาวชนสามารถเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้จากชิ้น งานที่จับต้องได้จริง และ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในช่วงนี้มีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 และเพื่อป้องกันไม่ให้มีการระบาดของโรคดังกล่าว ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในครั้งนี้ ดร.คุณหญิงกัลยา เผยว่าทางกระทรวง วิทยาศาสตร์ฯ ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขวางมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ทั้งมาตรการด้านสถานที่และผู้เข้าร่วมงาน ที่จะมีการตรวจคัดกรองเบื้องต้นด้วยเครื่องเทอร์โมแสกนร่วมกับซอฟต์แวร์เทอม สกรีนของเนคเทคที่ติดตั้งไว้รวม 9 จุด

หากพบผู้ที่สงสัยว่าป่วยเป็นเป็นไข้หวัดใหญ่ ก็จะแยกตัวไว้ในห้องพิเศษเพื่อรอดูอาการ ส่วนภายในงานก็จะมีเจลแอลกอฮอล์ล้างมือไว้บริการทั่วบริเวณงาน พร้อมทั้งให้บริการสอนทำเจลแอลกอฮอล์ล้างมือด้วย

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


50th-birthday-party-games
bratz-dress-up-games
mario-games-online
wii-game-cheats
all-spongebob-games
classic-games
download-strategy-games
fun-games-for-girls
free-downloadable-pc-games
free-pc-game-downloads

นักประดิษฐ์หัวใสทำอุปกรณ์ไฮเทคกว่า กันท่าพวกชอบ “แอบถ่าย”

นักวิจัยสหรัฐฯ สร้างอุปกรณ์ต้นแบบตัดตอนสมรรถภาพกล้องดิจิตอลลง แก้เผ็ดพวกมือคันลั่นชัตเตอร์ไม่รู้จักกาลเทศะ และยังช่วยผู้ที่ไม่ต้องการไปปรากฏภาพตามกล้องของคนอื่นๆ ในแบบ “แอบถ่าย” ได้อีกด้วย ที่สำคัญอุปกรณ์ชิ้นนี้สร้างรอยยิ้มให้แก่บรรดาเจ้าของหนังทั้งหลายที่สูญ รายได้ปีละหลายล้าน

เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกกล้องดิจิตอลที่สามารถบันทึกได้ทั้งภาพนิ่งและภาพ เคลื่อนไหว แถมยังกระจายข้อมูลไปได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้พวกภาพและคลิปประเภท “แอบถ่าย” มีอยู่เกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง

แม้มนุษย์จะใช้ความก้าวหน้าไปในทางร้ายมากเท่าใด แต่เราก็เชื่อว่าสักวันหนึ่งจะมีเทคโนโลยีขั้นสูงกว่าที่สามารถมาขัดขวางผู้ ที่ใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิดเหล่านี้ได้

อุปกรณ์ ดังกล่าวใช้เซ็นเซอร์, แหล่งผลิตแสง, เครื่องฉายภาพ, และคอมพิวเตอร์ เพื่อค้นหาและดักทางพวกกล้องดิจิตอลทั้งหลาย โดยการทำงานจะเข้าไปรบกวนตัวเซ็นเซอร์ที่กล้องดิจิตอลใช้ในกระบวนการบันทึก ภาพอันจะทำให้แสงที่กระเจิงกลับเข้าสู่ตัวเซ็นเซอร์ของกล้องเกิดการสะท้อน หรือเปลี่ยนรูปร่างไปจนไม่สามารถบันทึกได้

นอกจากนี้ ในอนาคตอาจจะพัฒนาได้ถึงการสร้างช่วงคลื่นอินฟาเรดเข้าไปรบกวนการทำงานของกล้องในที่ต่างๆ ได้โดยไม่มีใครเฉลียวใจ

”พวกเรามาถูกทางแล้ว เมื่อพัฒนาอุปกรณ์ตัวอย่างขึ้นมา และเชื่อว่าจะผลิตขายตามท้องตลาดได้ เพราะมีขนาดเล็ก และสามารถป้องกันการถูกบึกทึกภาพได้ แม้อยู่ในพื้นที่ที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา” เกรกอรี อบาวด์ (Gregory Abowd) หัวหน้าโครงการจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งจอร์เจีย (Georgia Institute of Technology)

นอก จากนี้ ทีมงานของอบาวด์ก็ยังทำงานวิจัยเพิ่มเติม เพื่อจะเพิ่มพื้นที่ป้องกันให้แก่ลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่ง ที่มาจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์

เทคโนโลยีดังกล่าวนี้อาจช่วยให้เจ้าของภาพยนตร์โล่งใจกับการลักลอบ บันทึกภาพในโรงภาพยนตร์ เพราะกล้องวิดิโอแบบดิจิตอลนั้นมีอุปกรณ์ที่ทำปฏิกิริยากับ CCD (ตัววงจรบันทึกภาพในกล้องดิจิตอล) ซึ่งจะส่งแสงกลับสู่กล้องแบบกระจัดกระจาย ไม่ได้ส่งแสงเป็นลำกลับมา ดังนั้นแสงที่กระจายเหล่านั้นจึงสามารถดักเก็บไว้ได้ง่าย

"อุตสาหกรรมหนังต้องประสบกับการลักลอบถ่ายหนังในโรง ซึ่งปัญหานี้มีมูลค่าการสูญเสียสูงถึง 3 พันล้านบาท" เจมส์ คลาวสัน (James Clawson) นักวิจัยฝ่ายเทคนิคของโปรเจคนี้เผย ซึ่งแน่นอนว่าถ้าใครแอบบันทึกภาพระหว่างที่หนังฉายตั้งแต่รอบแรกๆ แล้วนำไปเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์หรืออัดแผ่นขาย ก็จะทำให้คนมาดูหนังเรื่องนั้นที่โรงบางตาไป

อย่าง ไรก็ดี อุปกรณ์ดังกล่าวก็ยังเป็นเพียงแค่ชิ้นงานตัวอย่าง เพราะทางทีมงานแจ้งว่าพวกเขาจำเป็นต้องพัฒนาอุปกรณ์ให้เกิดความเสถียรเสีย ก่อน โดยต้องมั่นใจว่าระบบที่สร้างขึ้นนั้นสามารถค้นหาลำแสงที่สะท้อนกลับเข้าสู่ CCD ได้ อย่างไม่มีข้อผิดพลาด ซึ่งเชื่อว่าอีกไม่นานเราคงจะได้เห็นอุปกรณ์เหล่านี้วางขายตามท้องตลาดคู่ กับกล้องดิจิตอล

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


romantic-intimate-valentine-games-for-two
games-to-play
hoyle-card-games
play-driving-games-online
play-free-online-game-rpg
free-online-game-family-feud-or-monopoly
play-soccer-games-online
preschool-internet-games
free-online-role-playing-multiplayer-games
romantic-games-for-couples

Hello

bonsoungme